7 ปีที่เลิกกินสัตว์

17 กันยายน 2559 คือวันที่ผมปักหมุดไว้ว่าเราได้เริ่มต้นหยุดกินสัตว์แล้วอย่างตั้งใจ และอีกประมาณหนึ่งปีต่อมา ในค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว) ที่สวนป่านาบุญ 2 จ. นครศรีธรรมราช ผมได้ตั้งศีลเลิกกินไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ด้วย มาจนถึงปีนี้ พ.ศ. 2566 ก็จะครบรอบปีที่ 7 ของการเป็นนักมังสวิรัติแล้ว ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากเดิมมากทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณ และมันก็นานพอที่จะทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันคือ New Normal หรือ “ชีวิตใหม่” ที่เป็นปกติธรรมดาไปเสียแล้ว

ระยะเวลา 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ จะว่านานก็นาน จะว่าไม่นานก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเทียบระยะเวลานี้กับอะไร ถ้าเล่าให้นักมังสวิรัติรุ่นใหม่ที่กำลังพยายามเลิกกินสัตว์ให้ได้อย่างเด็ดขาดฟัง เวลา 7 ปีก็เป็นเวลาที่ยาวนานและท้าทายพอสมควร ในการพิสูจน์สัจจะและความตั้งใจจริงในการเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง แต่ถ้าหันไปมองดูชีวิตของนักมังสวิรัติรุ่นพี่อีกเป็นจำนวนมากที่เลิกกินสัตว์มาแล้วหลายสิบปี เวลา 7 ปีนี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของการเดินทางอันยาวไกล บนเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ที่หยุดการเบียดเบียนและเพิ่มพูนการเสียสละทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น

หากจะเทียบกับระยะเวลาในชีวิตของตัวผมเอง ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ ผมได้ใช้ชีวิตในโลกนี้มาแล้ว 51 ปี ช่วงเวลา 7 ปียังนับว่าสั้นนักเมื่อเทียบกับ 44 ปีก่อนหน้านั้นที่ผมยังกินสัตว์อยู่ แต่ผมรู้สึกว่าน้ำหนักของเวลาในช่วง 7 ปีหลังนี้ มันสัมผัสได้ชัดเจนกว่า มีมวลและน้ำหนักมากกว่า 44 ปีก่อนที่ยังใช้ชีวิตล่องลอยปล่อยไหลไปตามโลกอยู่ มันเป็น 7 ปีของการหยั่งรากลงดินและงอกเงยขึ้นสู่ฟ้าอย่างมั่นคง มีความแข็งแรงพอที่จะแตกกิ่งใบ ต่อยอด และขยายลำต้นเติบใหญ่ขึ้นไปตามลำดับ

ในช่วงเริ่มต้นที่ผมยังศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของการกินมังสวิรัตินั้น ผมเคยอ่านเจอบทความชิ้นหนึ่งที่บอกว่า เมื่อเราเลิกกินสัตว์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เซลล์ในเม็ดเลือดและกล้ามเนื้อของเราจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาจากองค์ประกอบของพืช และเมื่อครบ 7 ปี เซลล์ทุกเซลล์รวมทั้งเซลล์กระดูกซึ่งจะผลัดเปลี่ยนเซลล์ช้าที่สุด จะกลายเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดโดยสมบูรณ์ เรียกได้ว่าสรีระทั้งหมดของเราจะกลายเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สร้างมาจากพืชทั้งสิ้น ไม่เหลือองค์ประกอบเดิมที่มาจากสัตว์อีกเลย หรือจะบอกว่าเราจะได้ร่างใหม่ทั้งร่างที่สร้างขึ้นมาจากพืชล้วน ๆ ก็ได้

นั่นคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบาย แต่ผมไม่มีตาทิพย์ที่จะสามารถมองทะลุเข้าไปเห็นสภาพภายในเซลล์ของตัวเองได้ ไม่อาจยืนยันได้ว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของผมปราศจากองค์ประกอบที่สร้างมาจากสัตว์โดยสิ้นเชิงแล้วหรือยัง หรือจะมีเครื่องมือตรวจวัดชนิดใดที่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้หรือไม่ ผมก็ไม่มีความรู้เลย แต่ด้วยจิตวิญญาณของผมเอง ผมมั่นใจว่าชีวิตผมมีความเป็นพืชมากกว่าสัตว์แล้ว ผมเป็นมนุษย์ที่กินแต่พืชเท่านั้น ไม่มีชีวิตสัตว์ใด ๆ ต้องถูกฆ่าเพราะเหตุที่ผมจะกินมันอีกต่อไป ผมไม่เหลือความอยากจะกินเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง และชีวิตผมก็ยังคงเป็นปกติสุขดี ร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ทำกิจกรรมการงานต่าง ๆ ได้เป็นปกติ ไม่มีอาการขาดสารอาหารใด ๆ มีความเจ็บป่วยบ้างเป็นบางคราว แต่ก็ไม่ร้ายแรงเรื้อรัง สามารถดูแลตัวเองให้หายป่วยได้โดยไม่ยาก

ถึงวันนี้ ผมไม่มีความสงสัยอะไรอีกเลย ผมได้พิสูจน์แล้วด้วยชีวิตของตัวเองว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรงด้วยการกินแต่พืชเท่านั้น อันที่จริง มนุษย์ที่กินพืชจะแข็งแรงกว่ามนุษย์ที่กินสัตว์ด้วยซ้ำ แม้แต่สัตว์ที่กินพืชก็แข็งแรงกว่าสัตว์ที่กินสัตว์ พวกสัตว์กินพืชอย่างช้าง ม้า วัว ควายนั้นแข็งแรงกว่าเสือหรือสิงโตเสียอีก แต่ที่พวกมันต้องถูกฆ่าและกินโดยสัตว์ที่ตัวเล็กกว่าและมีเรี่ยวแรงน้อยกว่าก็เพราะสรีระของมันไม่มีเขี้ยวและเล็บอันแหลมคมเป็นอาวุธเท่านั้น ร่างกายของพวกมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการล่าและการฆ่าเลย มันจึงต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ที่ติดอาวุธมาแต่กำเนิดเพื่อการฆ่าโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม บางครั้งการล่าและฆ่าของพวกสัตว์กินสัตว์ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสัตว์กินพืชเหมือนกัน หากพวกมันอยู่รวมกันเป็นหมู่และพร้อมเพรียงกันต่อสู้ปกป้องพวกพ้องตนเองจากผู้ล่าอย่างแข็งขัน

สรีระของมนุษย์ก็เช่นกัน ไม่มีเขี้ยวและเล็บชนิดที่จะใช้ล่าและกินสัตว์เป็นอาหาร รวมไปถึงลำไส้ของเราก็เป็นแบบเดียวกับพวกสัตว์กินพืชด้วย แต่มนุษย์ได้พัฒนาอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้เรากลายเป็นสัตว์ที่ทำร้ายทำลายสัตว์ด้วยกันมากที่สุดในโลก เรานึกว่าเราฉลาดที่สามารถสร้างอาวุธขึ้นมาล่าและฆ่าสัตว์อื่นเป็นอาหารได้ ไม่ใช่แค่สัตว์อื่นเท่านั้น เรายังมีอาวุธสำหรับเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเป็นจำนวนมากด้วย นี่คือบ่วงกรรมอันใหญ่หลวงที่ครอบงำชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ในโลกปัจจุบัน

คนส่วนใหญ่ในโลกยังคงถูกครอบงำด้วยข้อมูลและความรู้เดิมอยู่ แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีข้อมูลใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์มายืนยันแล้วว่าการกินพืชนั้นแข็งแรงกว่าการกินสัตว์ แต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ก็ยังไม่แพร่หลายและยังไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แม้แต่หมอ พยาบาล รวมทั้งนักโภชนาการส่วนใหญ่ก็ยังคงสนับสนุนการกินสัตว์อยู่ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มของผู้ที่หันมากินมังสวิรัติ เป็นวีแกน (Vegan) หรือกินอาหารแบบแพลนท์เบส (Plant Based Food) เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความเป็นไปได้ว่า ถึงจุดหนึ่ง มนุษย์ส่วนใหญ่จะหันกลับมากินพืชเป็นหลักได้

ระหว่างที่ผมนั่งเขียนบทความนี้อยู่ในบ้านพ่อที่นนทบุรี มียุงตัวหนึ่งบินมาเกาะที่โคนนิ้วโป้งและเริ่มเจาะผิวหนังเพื่อจะดูดเลือดผมเป็นอาหาร ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บยิบ ๆ ตรงที่มันเกาะอยู่ ผมจึงเอามืออีกข้างค่อย ๆ ไล่มันออกไปจากนิ้วมือนั้นอย่างนุ่มนวล

นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน สมัยที่ผมยังกินสัตว์อยู่ ยุงตัวนี้คงถูกผมตบตายคามือไปแล้ว ผมเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมันคือผลอีกอย่างหนึ่งที่ผมได้มาจากการเลิกกินสัตว์ด้วย นอกจากร่างกายที่เบาสบายและแข็งแรงขึ้นแล้ว การไม่กินสัตว์ด้วยจิตวิญญาณที่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างชัดเจน จะทำให้เราไม่ต้องการเบียดเบียนชีวิตใด ๆ แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ทำความรำคาญแก่เราด้วย เพราะเราจะเห็นความจริงตามความเป็นจริงว่า ชีวิตสัตว์แม้เล็กแม้น้อยเพียงใด เขาก็เป็นชีวิต มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึก รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา เราไม่อยากให้ใครมาทำร้ายเราอย่างไร สัตว์อื่นก็ไม่อยากให้ใครไปทำร้ายเขาเหมือนกัน เราไม่กินเขาเพราะเราเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าชีวิตเขาต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรก่อนจะถูกทำเป็นอาหารมาให้เราได้กิน แม้เราจะไม่ได้ลงมือฆ่าเขาเอง แต่การกินเลือดเนื้อชีวิตของเขาก็มีส่วนให้เขาต้องได้รับความเดือดร้อนด้วย และเขาก็มีจิตวิญญาณที่มีความรู้สึกโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาททุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำต่อชีวิตของเขาได้ พลังงานแห่งความพยาบาทนี้เองที่หมุนวนอยู่ในโลกของการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลต่อทุกชีวิตที่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ่วงแห่งกรรมนั้น ดังนั้น การกินสัตว์แม้ไม่ได้ฆ่าเองก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในวังวนแห่งวิบากกรรมที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงและฆ่าไปด้วย

แล้วด้วยความเข้าใจเรื่องกรรมอย่างนี้เอง ทำให้ผมรู้สึกโล่งและสบายใจขึ้นอย่างมากที่ชีวิตเราหลุดพ้นออกมาจากการกินสัตว์ได้แล้ว ผ่านมา 7 ปี ผมยิ่งมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าชีวิตเราจะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังวนของการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว เราไม่จำเป็นต้องอาศัยชีวิตสัตว์ใด ๆ มาเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตเราอีกต่อไป ทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่น ๆ สืบไป นี่คือความมหัศจรรย์และเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของผม

สุดท้ายนี้ ผมขอสรุปสั้น ๆ ตามประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เลิกกินสัตว์มาเป็นเวลา 7 ปีแล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว ผมจะหวงแหนและรักษาสิ่งนี้ไว้กับตัวเองไปจนตายในชาตินี้ และจะพยายามสืบต่อไปอีกในชาติต่อ ๆ ไปด้วย มันคือสมบัติอันยิ่งใหญ่ มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก เป็นทรัพย์ของจิตวิญญาณที่จะติดตัวเราไปได้ตลอดกาลนาน ตราบเท่าที่เรายังคงมีศรัทธาตั้งมั่นและเชื่อชัดในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งเช่นนี้อยู่

๖ ปีที่เลิกกินเนื้อสัตว์

เทศกาลกินเจที่ผ่านมา เป็นวาระครบรอบปีของการเลิกกินเนื้อสัตว์ของผม ซึ่งผมได้เขียนบทความบอกเล่าความคืบหน้าและผลที่ได้จากการเป็นนักมังสวิรัติมาตลอดทั้ง ๕ ปีที่ผ่านมา ปีนี้เป็นปีที่ ๖ แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าจะนำมาเล่าสู่ฟังกันอีก แต่ในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ผมมีงานยุ่งจนไม่มีเวลาเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว จึงได้มาเขียนในเวลานี้ มันเป็นเหมือนพันธะสัญญาที่ได้ทำไว้กับตนเองว่าจะทำเช่นนี้ไปทุกปี จนกว่าจะไม่เหลือเหตุผลใด ๆ ให้ทำอีกต่อไป

มาถึงปีที่ ๖ แล้ว ถ้าเป็นนักเรียนก็ถือว่าเป็นปีสุดท้ายของชั้นประถมศึกษาแล้ว สิ่งที่ผมอยากจะบอกในปีนี้ก็คือ ผมเลือกโรงเรียนถูกแล้ว หกปีที่ผมปฏิบัติตนเป็นนักมังสวิรัติตามแบบแพทย์วิถีธรรมมา ผมได้ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ควรได้ตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์บอกไว้ทุกประการ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตรงกับบทสรุปในบททบทวนธรรมของอาจารย์หมอเขียว ข้อ ๑๖๕ ที่ว่า

คุณค่าและความผาสุกของชีวิต คือ ชีวิตที่พอเพียง เรียบง่าย ร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เป็นสุข

คำว่า “จิตใจที่เป็นสุข” นี้ ผมรู้สึกว่ามันลึกซึ้งยิ่งกว่าความสุขโดยทั่ว ๆ ไปมาก มันแตกต่างกันมาก เปรียบเทียบกับความสุขจากการได้กินเนื้อสัตว์แล้วรู้สึกอร่อย หรือความสุขอื่น ๆ จากการได้เสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตลอดจนลาภ ยศ สรรเสริญต่าง ๆ แล้ว จิตใจที่เป็นสุขจากความรู้สึกที่ว่า “ชีวิตเราเป็นอยู่อย่างแข็งแรง มีสมรรถภาพ สามารถทำประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้ โดยไม่ต้องมีส่วนไปเบียดเบียนเอาเลือดเนื้อชีวิตผู้อื่นมาเป็นอาหารเลย” นี้เป็นความสุขอย่างวิเศษที่เหนือกว่าสุขจากการได้เสพรสอร่อยอย่างที่เราเคยเสพมาก่อนทั้งสิ้น และเมื่อใจของเราสัมผัสได้ถึงความสุขอันวิเศษนี้แล้ว ผมบอกตัวเองได้เลยว่า มันสุดยอดจริง ๆ ครับ

ความรู้สึกสุดยอดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุของการไม่กินเนื้อสัตว์แต่อย่างเดียวหรอกนะครับ ยังมีองค์ประกอบของความเชื่อและชัดในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งด้วย คือเชื่อว่าทุกการกระทำของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจ ล้วนมีผลต่อสิ่งที่เราจะได้รับ ทั้งในปัจจุบัน ในอนาคต และในชาติอื่น ๆ สืบไปด้วย ดังนั้น บนฐานของความเชื่อและชัดในเรื่องกรรมเช่นนี้ หากเรายังมีการกระทำที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นหรือสัตว์อื่นอยู่ ไม่ว่าจะโดยการฆ่าหรือทำร้ายตรง ๆ หรือมีส่วนในการเบียดเบียนโดยการกินเลือด เนื้อ และชีวิตของเขาอยู่ เราก็จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น ๆ อยู่ ไม่แต่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ตายแล้วไปเกิดใหม่ก็ยังมีส่วนที่ยังต้องไปรับอยู่อีก ตรงกับบททบทวนธรรมข้อ ๑๒ ที่ว่า

วิบากกรรมมีจริง ทำอะไร ได้ผลอะไร ก็เกิดจากการกระทำของเราเองทั้งหมด เจอเรื่องดี เพราะทำดีมา เจอเรื่องไม่ดี เพราะทำไม่ดีมา ทั้งในปัจจุบันและอดีต สังเคราะห์กันอย่างละหนึ่งส่วน

นอกจากนี้ ชีวิตหรือจิตวิญญาณของเรานี้ไม่ได้เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาแค่สองสามชาติเท่านั้น แต่มันได้วนเวียนเกิดตาย ๆ มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน มากมายยิ่งกว่าจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาเสียอีก ดังนั้น ชีวิตเราจึงต้องได้วนเวียนอยู่กับวิบากดีร้ายมาแล้วมากมายอย่างหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ แล้วมันยังไม่พออีกหรือ

เพียงแค่คิดตามเท่านั้นก็รู้สึกได้แล้วว่ามันน่าเบื่อหน่าย มันน่าจะพอได้แล้วสำหรับการวนเวียนอันไม่รู้จบไม่รู้สิ้นอย่างนี้

เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้มีความเชื่ออะไรแบบนี้หรอก แต่หลังจากที่ได้เลิกกินเนื้อสัตว์มาเป็นนักมังสวิรัติ และได้มาเรียนรู้ธรรมะจากอาจารย์หมอเขียว รวมทั้งพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตลอดจนสมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรมชาวอโศก และพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทั้งหลายแล้ว ก็ยิ่งชัดเจนในเรื่องวิบากกรรมมีจริง ชัดเจนแน่นอนแล้วว่าการกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ลงมือฆ่าหรือแย่งชิงมาด้วยตัวเอง แต่การกินก็เป็นส่วนแห่งการส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าหรือเบียดเบียนทำร้ายสัตว์อยู่

ในยุคปัจจุบัน อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่เพื่อฆ่าและเอาเนื้อมาขายให้คนจำนวนมากกิน หรือเอาน้ำนมและไข่มาเป็นสินค้าที่แพร่หลายกระจายไปทั่วโลก เป็นวงจรขนานใหญ่ของการเบียดเบียนสัตว์ ทำให้สัตว์จำนวนมากต้องมีชีวิตที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง พวกมันต้องถูกกักขังอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระตามสัญชาตญาณของมัน ถูกป้อนด้วยอาหารและยาที่จะเร่งสร้างเนื้อ นม และไข่ออกมามาก ๆ และเร็ว ๆ เพื่อให้ได้ต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด เมื่อนำเนื้อและผลิตภัณฑ์จากสัตว์เหล่านั้นไปขายเป็นสินค้าก็จึงจะได้กำไรมากที่สุด ตามแรงบีบคั้นของระบบทุนนิยม

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคนิควิทยาการของมนุษย์ ทำให้ทุกวันนี้เรามีสินค้าที่เป็นเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปริมาณมากแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก เราเปลี่ยนจากสังคมที่นาน ๆ จะได้กินเนื้อสัตว์บ้างตามเทศกาล มาเป็นสังคมที่บริโภคเนื้อสัตว์ได้ตลอดเวลา ทั้งเช้า สาย บ่าย ค่ำ ยันโต้รุ่ง เราสามารถซื้อหาอาหารที่มาจากสัตว์ได้ทั้งวัน ทุกวัน เรากินพวกเขาอยู่ทุกวันโดยไม่เคยได้คิดถึงที่มาอันน่าสังเวชของชีวิตสัตว์เหล่านั้นเลย เรากินโดยไม่เคยเห็นกระบวนการเลี้ยง การฆ่า และการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์อย่างเต็มที่

ด้วยผลแห่งวิบากร่วมของมนุษยชาติเช่นนี้ สังคมเราจึงมีคนป่วยมากขึ้น มีโรคแปลก ๆ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายโรค รักษาได้ยากหรือรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ชีวิตผู้คนในยุคนี้ส่วนใหญ่ก็เหมือนถูกกักขังอยู่ด้วยการงานบ้าง ถูกกักขังด้วยการเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ บ้าง ถูกกักขังด้วยการไขว่คว้าแย่งลาภแย่งยศกันบ้าง หลาย ๆ คนมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับสัตว์ที่ถูกป้อนด้วยอาหารและยาในโรงเลี้ยงที่จำกัด กิน ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มเป็นโรคนั้นโรคนี้ ต้องกินยานั้นยานี้เป็นประจำ หนักเข้าก็ต้องถูกผ่าถูกตัดอวัยวะส่วนนั้นส่วนนี้ออก เหมือนกับสัตว์ที่ถูกผ่า ถูกชำแหละ ถูกตัดส่วนอวัยวะต่าง ๆ เพื่อขายเป็นอาหารของมนุษย์

ท่านที่ยังไม่เชื่อเรื่องกรรม อาจจะยังไม่เห็นอย่างที่ผมเห็น ไม่เชื่อว่าการกินสัตว์ของเราจะทำให้เราได้รับผลร้ายต่าง ๆ นานาอย่างที่ผมบอก จะว่ามันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลก็ได้ ท่านก็ใช้วิจารณญาณของท่านตรองดูเอาเถิด ผมไม่ได้เขียนบทความเพื่อจะโฆษณาชวนเชื่อให้ใครมากินมังสวิรัติหรอก เพียงแต่อยากจะรายงานถึงสิ่งที่ตนเองปฏิบัติและผลที่ได้มาสู่สาธารณะบ้างเท่านั้น

นอกจากผลที่ได้แก่ตนเอง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจแล้ว ผมยังเห็นด้วยกับขบวนการ vegan ที่เป็นกระแสอยู่ในต่างประเทศเวลานี้ด้วยว่า การเลิกกินสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ มีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนได้มาก ลดการการสร้างภาระต่าง ๆ แก่ระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติของโลกลูกนี้ได้มากทีเดียว รายละเอียดในเรื่องนี้ท่านสามารถดูได้จากภาพยนตร์สารคดีของกลุ่ม vegan หลาย ๆ เรื่อง เช่น What You Eat Matters หรือ Eating Our Way to Extinction เป็นต้น

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า ตลอด ๖ ปีที่ผ่านมา ชีวิตผมไม่ได้ขาดแคลนคุณค่าและความผาสุกเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงมั่นใจในทิศทางที่ตนเองกำลังดำเนินอยู่ และตั้งใจที่จะเป็นนักมังสวิรัติในแบบนี้ต่อไป ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่น ๆ สืบไป จนกว่าจิตวิญญาณดวงนี้จะสามารถดับสูญไปโดยไม่เหลือพลังงานใด ๆ เป็นของตนเองอีกต่อไป

เป็นหมอดูแลตัวเอง

ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดไม่ได้ หมอและคนไข้จะพากันป่วยตาย

ดร. ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) “ความลับฟ้า ถอดรหัสสุขภาพ เล่ม ๒” พิมพ์ครั้งที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ หน้า ๑๓

ก่อนจะมาพบแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้าเคยมีอาการของโรคริดสีดวงทวารมาก่อน ประมาณปี ๒๕๕๘ เริ่มมีอาการปรากฏบ่อยขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ท้องผูก เวลาถ่ายต้องออกแรงเบ่งอุจจาระหนัก ๆ ทำให้มีก้อนนูนปูดออกมาที่ปากทวารหนัก อาการดังกล่าวยังไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เจ็บปวดทรมาน แต่ก่อความรำคาญมากกว่า ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้เอาใจใส่กับมันมากนัก เมื่อเกิดอาการขึ้นแต่ละครั้ง หากได้ดูแลอาหารและการขับถ่ายสักหน่อย ไม่ปล่อยให้ท้องผูกอีก ใช้เวลา ๑ – ๒ วัน ก้อนนูนนั้นก็จะยุบลงไปได้เอง โดยไม่ต้องไปหาหมอหรือกินยาใด ๆ 

หลังจากมาพบแพทย์วิถีธรรมแล้ว ข้าพเจ้าได้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตนเองในปี ๒๕๕๙ ด้วยการกินอาหารมังสวิรัติ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หมั่นออกกำลังกาย ทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่เป็นประจำ เป็นต้น ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาสำรวจตัวเองอีกครั้งหลังจากเลิกกินเนื้อสัตว์มาแล้วประมาณหนึ่งปี จึงพบว่าอาการริดสีดวงทวารนั้นหายไปแล้ว มันหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบแน่ชัด เพราะไม่ได้สนใจว่ามันจะหายหรือไม่ 

แต่โรคทุกโรคนั้นเป็นได้ก็หายได้ หายแล้วก็กลับมาเป็นอีกได้เช่นกัน 

วันหนึ่ง ประมาณกลางเดือนเมษายนปี ๒๕๖๕ ข้าพเจ้ามีอาการริดสีดวงทวารกำเริบขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังจะทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ แต่ปรากฏว่าขณะที่กำลังจะทำก็เกิดปวดอุจจาระเสียก่อนจึงไม่ได้ทำ อุจจาระในวันนั้นมีความหนืดมาก ทำให้ต้องออกแรงเบ่งมากกว่าปกติ หลังจากถ่ายเสร็จแล้วจึงพบว่ามีก้อนนูนที่ปากทวารหนักปูดออกมาแล้ว มันรุนแรงกว่าที่เคยเป็นในสมัยก่อนเสียอีก เพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ก้อนนูนนั้นด้วย  และด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าไม่ได้ถ่ายอุจจาระมาก่อนแล้ว ๑ วัน บวกกับการกินน้ำน้อย กินอาหารฤทธิ์ร้อนมากเกินไป รวมทั้งการทำงานหนัก พักผ่อนน้อยด้วย เป็นเหตุให้โรคที่คิดว่าหายไปแล้วกลับมากำเริบอีก และเป็นหนักถึงขั้นรู้สึกเจ็บเวลานั่งด้วย 

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ไม่ได้กลัวกังวลอะไรมาก เพราะเข้าใจชัดว่าสาเหตุนั้นเกิดจากความไม่สมดุลของเราเอง ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มต้นปรับสมดุลด้วยหลักการแพทย์วิถีธรรมตามที่ได้เรียนรู้มาทันที ด้วยการลดเวลาการทำงานลง เพิ่มเวลาพักผ่อน ปรับอาหารให้มีฤทธิ์เย็นมากขึ้น งดกินถั่วลิสงที่ช่วงนั้นกินอยู่เป็นประจำ เปลี่ยนมากินถั่วเขียวแทน ทำกายบริหารกดจุดลมปราณในตอนเช้า ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ถอนพิษด้วยการแช่ก้นในน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นวันละครั้ง สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นวันละ ๒ ครั้ง เป็นต้น 

นอกจากนี้ ในระหว่างที่ได้ปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพให้เคร่งครัดขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้คิดทบทวนถึงวิบากกรรมในอดีตด้วย จำได้ว่าในสมัยเป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยแกล้งปล่อยให้ยุงกินเลือดจนท้องมันป่องเต็มที่ ทำให้มันบินหนีไปไหนไม่ได้ แล้วก็ทำอุตริด้วยการจับมันบีบเล่นให้เลือดปูดออกทางก้น เป็นการเล่นสนุกของเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องวิบากกรรม มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกผิดอย่างมาก เห็นตัวเองในอดีตเหมือนยักษ์มารที่โหดร้าย เอาชีวิตสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาเป็นของเล่นเพื่อความเพลิดเพลินได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ดังนั้น การที่ข้าพเจ้าต้องมาเจ็บปวดทรมานจากริดสีดวงในครั้งนี้ก็สมควรแล้ว ยินดีรับโทษ ยินดีชดใช้ด้วยความเต็มใจ 

หลังจากปรับสมดุลและถอนพิษด้วยวิธีการต่าง ๆ ประมาณ ๑๐ วัน อาการก็ค่อย ๆ ทุเลาลงจนก้อนนูนนั้นยุบลงไป สามารถนั่งทำงานได้เป็นปกติ แต่อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังคงพยายามปฏิบัติดูแลสุขภาพให้สมดุลอยู่ต่อไป ตามหลักยาเม็ดที่ ๙ ของแพทย์วิถีธรรม คือ รู้เพียรรู้พัก ไม่ทำงานหนักจนเกินไป แต่ก็จะไม่ทิ้งงานจนกลายเป็นความขี้เกียจ ตรงกับบททบทวนธรรมข้อ ๖๙ ของอาจารย์หมอเขียวที่ว่า “พร้อมสู้อุปสรรคอย่างเบิกบาน ไม่ทรมานจนเบิกบูด ไม่หย่อนยานจนย่ำแย่” 

จากการเจ็บป่วยและได้ดูแลตนเองให้แข็งแรงขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยการแพทย์วิถีธรรมหรือแพทย์พุทธศาสตร์ของอาจารย์หมอเขียวในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้พิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่า เราสามารถเป็นหมอดูแลตัวเองได้ สามารถพึ่งตนเองได้ในการดูแลสุขภาพ โดยใช้สิ่งที่ประหยัด เรียบง่าย และได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ เหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าศรัทธาและมั่นใจในแนวทางชีวิตตามที่อาจารย์หมอเขียวสอน เชื่อมั่นว่านี่แหละคือวิถีชีวิตแบบพุทธะที่สามารถแก้ปัญหาทุกข์กาย ทุกข์ใจ และทุกข์จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างแท้จริง

ทำสมดุลร้อนเย็น

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีทุกข์น้อย ประกอบด้วยเตโชธาตุ อันมีวิบากเสมอกัน ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นอย่างกลาง ๆ ควรแก่ความเพียร ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ ข้อที่ ๒๙๓ องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร ๕ อย่าง

ก่อนจะได้มาพบแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากนัก กินอาหารก็เป็นอาหารทั่วไปที่หากินได้ง่าย ไม่ได้แสวงหาอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารเสริมใด ๆ มากินเลย เนื้อสัตว์ ไขมัน กาแฟ ขนม นม เนย รวมไปถึงเหล้าและเบียร์ ข้าพเจ้าก็กินดื่มไปตามความสะดวกของชีวิต อยากกินอะไรก็กิน ไม่อยากกินอะไรก็ไม่กิน ไม่เคยกังวลว่าไขมันจะสูง น้ำตาลจะเกิน ไม่คิดแม้แต่จะไปตรวจสุขภาพประจำปี

แม้จะไม่ใช่คนรักสุขภาพแต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะบ่อนทำลายสุขภาพตนเองแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ค่อยจะศรัทธาวิธีคิดของคนรักสุขภาพตามที่ได้พบเห็นทั่วไปเท่าไร เพราะมันทำให้ชีวิตยุ่งยากจนเกินไป จะกินอะไรแต่ละอย่างก็ต้องคิดต้องเลือกอย่างมาก ห้ามกินนั่นห้ามกินนี่ หรือกินได้ไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ และอาหารสุขภาพตามที่เขาแนะนำกันก็มักจะหาซื้อได้ยากและมีราคาแพง ยังไม่นับพวกอาหารเสริมที่ดูจะเกินความจำเป็นของชีวิตไปมาก พอเห็นพฤติกรรมของคนรักสุขภาพอย่างนั้นแล้ว ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่า เราขอยอมตายไปด้วยอายุขัยเท่า ๆ กับค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปดีกว่าที่จะต้องทำตามคนรักสุขภาพแล้วมีอายุยืนขึ้นอีกสัก ๕ หรือ ๑๐ ปี 

โชคดีอยู่บ้างที่ข้าพเจ้าเป็นคนชอบออกกำลังกาย ชอบออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ตามสวนสาธารณะหรือตามป่าเขา ลำธาร น้ำตก และแม้ว่าจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องอาหารสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้เสพติดอาหารที่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย ดังนั้น สุขภาพโดยรวมของข้าพเจ้าในช่วงก่อนจะพบแพทย์วิถีธรรมจึงยังไม่มีปัญหาอะไรนัก ไม่มีโรคประจำตัว สามารถทำงานและดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติ 

อย่างไรก็ตาม ผลจากการกินตามใจปาก นอนดึก กินเหล้ากินเบียร์เป็นครั้งคราวเมื่อได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ตลอดจนการสะสมความเครียดจากการทำงาน ทำให้ร่างกายข้าพเจ้าเริ่มส่งสัญญาณความเสื่อมให้เห็นบ้างแล้วหลายอย่าง เช่น มักมีอาการภูมิแพ้คือจามหนัก ๆ อยู่เสมอ มีริดสีดวงทวารที่จะกำเริบทุกครั้งที่ท้องผูก มีอาการร้อนในเป็นแผลในปากบ่อย ๆ ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้จะยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่ต้องล้มหมอนนอนเตียง และอาศัยการพักผ่อนและกินน้ำมาก ๆ ก็ดีขึ้นได้ แต่ในช่วงหลัง ๆ ก่อนจะได้มาพบแพทย์วิถีธรรม ความเจ็บป่วยเล็กน้อยเหล่านี้ก็เกิดเป็นถี่ขึ้น และต้องใช้เวลานานขึ้นในการดูแลให้อาการมันหายไป

โชคดีที่ได้พบแพทย์วิถีธรรมและได้เรียนรู้วิธีการดูแลสุขภาพพึ่งตน ใช้หลักสมดุลร้อนเย็นดูแลตนเองทั้งในเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการถอนพิษด้วยวิธีการที่ประหยัด เรียบง่าย รวมทั้งได้ปฏิบัติธรรม ลดความเครียดจากปัญหาต่าง ๆ ของชีวิตลงไปมาก ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง มีสมรรถนะในการทำงานได้มากขึ้น หลังจากการปฏิบัติตามยา ๙ เม็ดหรือเทคนิค ๙ ข้อของแพทย์วิถีธรรม อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เคยเป็นก็ค่อย ๆ หายไป และในช่วง ๕ – ๖ ปี ที่ข้าพเจ้าได้เลิกกินเนื้อสัตว์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามแนวทางของการแพทย์วิถีธรรม ก็ไม่เคยไปหาหมอหรือกินยาเคมีใด ๆ อีกเลย แม้บางครั้งจะมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นบ้าง ก็สามารถเป็นหมอดูแลตนเองจนหายป่วยได้ไม่ยาก 

ถึงวันนี้ข้าพเจ้ามีความมั่นใจในวิถีชีวิตแบบแพทย์วิถีธรรมอย่างมาก ผลจากการทำสมดุลร้อนเย็นอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้สุขภาพร่างกายมีความเจ็บป่วยน้อย สบาย เบากาย มีกำลัง นอกจากนี้ สุขภาพจิตใจก็ดีขึ้นด้วย ไม่ค่อยมีความเครียด หรือความวิตกกังวลต่อปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต ผลลัพธ์ดี ๆ ที่ได้สั่งสมมาจากการปฏิบัติเช่นนี้ เป็นปัจจัยทำให้ทัศนคติต่อการดูแลสุขภาพของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมาก จากคนที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพสักเท่าไร ทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้กลายเป็นคนรักสุขภาพไปเสียแล้ว แต่เป็นคนรักสุขภาพที่ใช้วิธีดูแลสุขภาพแบบพึ่งตน ประหยัด เรียบง่ายเป็นหลัก เป็นวิถีชีวิตที่ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนแนวทางสุขภาพอื่น ๆ 

นอกจากนี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ด้วยวิถีชีวิตแบบนี้ จะทำให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนยาวมากขึ้น และข้าพเจ้าก็มีความตั้งใจด้วยว่า จะพยายามมีชีวิตที่มีสมรรถนะในการปฏิบัติธรรม ละบาป บำเพ็ญบุญ และบำเพ็ญคุณประโยชน์แก่โลกร่วมกับหมู่มิตรชาวแพทย์วิถีธรรมไปให้ได้ยาวนานที่สุด และหากไม่มีวิบากกรรมมาตัดรอนเสียก่อน ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าจะสามารถบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ไปได้อีกหลายสิบปี จนมีอายุถึงร้อยปีเลยก็ยังได้

มาเป็นนักมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรม

๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ “สามัญญผลสูตร” ข้อ ๑๐๓

ก่อนจะมาพบแพทย์วิถีธรรม ข้าพเจ้ากินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เหมือนคนทั่วไป ตอนเป็นเด็กไม่ค่อยชอบกินผักมากนัก กินเป็นแต่ผักไม่กี่ชนิดเท่านั้น และไม่เคยมีความคิดว่าจะเปลี่ยนมากินอาหารมังสวิรัติเลย จนกระทั่งได้มาดูแลมารดาซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็ง 

ความเจ็บป่วยของมารดาทำให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจเรื่องสุขภาพและอาหารการกินมากขึ้น เนื่องจากมารดาปฏิเสธการรักษาด้วยเคมีและการฉายรังสี จึงแสวงหาการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก หนึ่งในนั้นคือการแพทย์วิถีธรรมของอาจารย์หมอเขียว (ดร. ใจเพชร กล้าจน) และได้ไปเข้าค่ายอบรมสุขภาพแพทย์วิถีธรรมที่สวนป่านาบุญ ๓ จังหวัดปทุมธานี โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ไปร่วมอบรมและดูแลมารดาในระหว่างเข้าค่ายด้วย 

อาหารมื้อแรก ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ สวนป่านาบุญ ๓ จ. ปทุมธานี

อาหารมื้อแรกในค่ายของข้าพเจ้ามีเพียงกล้วยน้ำว้า ส้มตำ ผักสด ข้าว ต้มยำเห็ด และถั่วเขียวต้มเท่านั้น ทั้งส้มตำและต้มยำไม่ได้มีรสชาติเหมือนที่เคยกินมาก่อนเลยในชีวิต มันดูจืดชืดมากจนมารดาถามข้าพเจ้าด้วยความเป็นห่วงว่าจะกินได้ไหม แต่ข้าพเจ้าก็กินได้ไม่ยากนัก คิดว่ามันเป็นอาหารที่ต้องกินเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น ไม่ได้กินเพื่อความอร่อย และถ้าข้าพเจ้าไม่กินอาจจะทำให้มารดากินได้น้อยลงไปด้วย ในวันนั้น เมื่อกินจนหมดถาดข้าพเจ้ายังไปตักมาเพิ่มแล้วนั่งกินเป็นเพื่อนมารดาต่อไปอีก 

หลังจากการอบรมในครั้งนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจอาหารมังสวิรัติมากขึ้น แต่ก็ยังไม่คิดว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์เสียทีเดียว เวลานั้นคิดอยู่แต่ว่าอยากให้มารดาได้กินอาหารสุขภาพที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายท่านให้สามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้เท่านั้น

ในระหว่างที่พยายามปรับเปลี่ยนอาหารของมารดาที่บ้าน ข้าพเจ้าก็เริ่มศึกษาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติมากขึ้น จนเริ่มมีความคิดที่จะลองกินมังสวิรัติดูบ้างแล้ว ช่วงนั้นก็ได้ชวนมารดาและครอบครัวออกไปรับประทานอาหารมังสวิรัติตามร้านอาหารข้างนอกบ้าง นอกจากนั้น ก็ยังคงติดตามฟังคำบรรยายของอาจารย์หมอเขียวทางสื่ออยู่ด้วย 

อย่างไรก็ตาม แม้จะยอมรับว่าอาหารมังสวิรัตินั้นดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารเนื้อสัตว์ แต่ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ รอบด้าน รวมถึงความเคยชินที่สั่งสมมายาวนาน ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าการจะถือมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ตอนนั้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จึงได้ยุติความคิดของตนเองไว้เพียงแค่ว่าจะพยายามลดการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง กินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้นเท่านั้น 

ประมาณ ๓ เดือนหลังจากเข้าค่ายแพทย์วิถีธรรม ด้วยเหตุแห่งความวิตกกังวลทำให้โรคมะเร็งของมารดากำเริบขึ้นอย่างกะทันหัน จนต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน 

ต่อมา ข้าพเจ้ายังคงติดตามฟังและศึกษาเรื่องมังสวิรัติอยู่และได้ลดการกินเนื้อสัตว์น้อยลงมาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง ระหว่างที่เรากำลังเดินซื้ออาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง แม่บ้านก็บังเกิดความรู้สึกเหม็นคาวเลือดและเนื้อที่วางขายอยู่ในแผนกเนื้อสดอย่างมากจนไม่อยากเข้าใกล้ เราจึงตัดสินใจร่วมกันว่าจะเลิกซื้อเนื้อสัตว์เข้าบ้าน และเริ่มทำอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์กินเองที่บ้านมากขึ้น ระหว่างนั้น ข้าพเจ้าเริ่มคิดแล้วว่าคงจะมีสักวันในชีวิตนี้ที่เราจะเลิกกินเนื้อสัตว์และเป็นนักมังสวิรัติได้จริง ๆ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีแรงบันดาลใจมากพอจะปฏิบัติ เนื่องจากหันไปทางไหนก็มีแต่อาหารเนื้อสัตว์ และวิถีชีวิตของเราก็ยังคงพึ่งพาร้านอาหารนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ เวลานั้นก็ยังคิดว่าการไม่กินเนื้อสัตว์เลยเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ๆ สำหรับเรา 

จนกระทั่งมีการจัดอบรมสุขภาพโดยจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมที่จังหวัดภูเก็ต เป็นค่ายย่อยแค่ ๒ วัน ข้าพเจ้ากับแม่บ้านได้ไปเข้าค่ายด้วย เราจึงได้เริ่มหยุดกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันแรกที่เข้าค่าย คือวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๙ หลังจากจบค่ายก็ใกล้ถึงเทศกาลกินเจ ซึ่งในปีนั้นจะเริ่มต้นวันที่ ๓๐ กันยายน ข้าพเจ้ากับแม่บ้านจึงถือโอกาสกินมังสวิรัติต่อเนื่องไปจนหมดเทศกาลเจ จนเมื่อหมดเทศกาลเจแล้วก็มีความรู้สึกว่าเราทำได้ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก ร่างกายก็เบาสบาย จิตใจก็เป็นสุขดี เราจึงตัดสินใจว่าจะกินมังสวิรัติต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนั้นเราเริ่มรู้จักร้านอาหารเจหรือมังสวิรัติในจังหวัดภูเก็ตมากขึ้นหลายร้าน รวมทั้งร้านอาหารอื่น ๆ ที่เราสามารถสั่งอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์ได้ด้วย ร้านอาหารเหล่านี้กลายเป็นที่พึ่งอาศัยสำหรับเราอย่างดีในช่วงแรก ๆ ของการเลิกกินเนื้อสัตว์ บัดนี้ เรื่องที่เคยคิดว่ายากจึงไม่ยากอีกต่อไป ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีร้านอาหารที่นักมังสวิรัติสามารถเลือกกินได้มากมายในจังหวัดภูเก็ต ช่วงนั้นข้าพเจ้ากับแม่บ้านจึงสนุกสนานกับการตามหาและไปลองชิมอาหารของร้านต่าง ๆ ในภูเก็ตกันอยู่เสมอ 

ช่วงปีแรกของการเริ่มกินมังสวิรัติ ข้าพเจ้าได้เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด แต่ยังคงกินนมและไข่อยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะอยู่ในชา กาแฟ และขนมต่าง ๆ ซึ่งเรายังกินอยู่เป็นประจำ 

ต่อมาในปี ๒๕๖๐ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ไปเข้าค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมอีกหลายครั้ง คำว่า “เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์” ก็เริ่มคุ้นหูมากขึ้น จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่เข้าค่ายอยู่ที่สวนป่านาบุญ ๒ จังหวัดนครศรีธรรมราช น่าจะเป็นช่วงใกล้เข้าพรรษา มีการชวนกันตั้งศีลปฏิบัติในระหว่างเข้าพรรษา มีพี่ชายท่านหนึ่งที่เราเริ่มจะสนิทสนมกันมากขึ้นจากการเข้าค่ายด้วยกันหลายครั้งแล้ว ท่านได้ตั้งศีลว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ด้วย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าตั้งตาม ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงได้เลิกกินทั้งนม เนย ไข่ น้ำผึ้ง และอื่น ๆ ที่รู้กันว่าได้มาจากสัตว์ด้วย การตั้งศีลในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามอยู่เหมือนกันในการเลิกกินขนมต่าง ๆ ที่เคยกิน โดยเฉพาะพวกเบเกอรี่ทั้งหลาย และเปลี่ยนจากการกินกาแฟใส่นมมาเป็นกาแฟแบบไม่ใส่นมแทน 

ถ้าไม่ได้ไปเข้าค่ายในครั้งนั้น ข้าพเจ้าคงคิดขึ้นมาเองไม่ได้หรอกว่าน่าจะตั้งศีลเลิกกินนม ไข่ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้แล้ว เพราะตอนนั้นข้าพเจ้าก็มีความสุขดีอยู่แล้วกับการเป็นมังสวิรัติแบบที่ยังกินไข่และนมอยู่ แต่ปรากฏว่าเมื่อข้าพเจ้าหยุดกินไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้แล้ว กลับรู้สึกว่ามันเป็นสุขยิ่งกว่าเดิมเสียอีก 

ดังนั้น เหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเป็นนักมังสวิรัติได้อย่างบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นและเป็นได้อย่างมั่นคงยั่งยืนด้วย คือการได้เข้าไปคบคุ้นอยู่กับชาวแพทย์วิถีธรรมนี่เอง ด้วยการไปเข้าค่ายเป็นประจำเกือบทุกเดือน การฟังธรรมจากอาจารย์หมอเขียวเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง และการได้บำเพ็ญกุศลร่วมกับจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมอย่างสม่ำเสมอ การคบคุ้นเช่นนี้ทำให้วิถีชีวิตของข้าพเจ้าค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเรื่อย ๆ จนในที่สุดทั้งตัวข้าพเจ้าและแม่บ้านก็ได้ปวารณาตัวเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม และปฏิบัติบำเพ็ญตามคำสอนของอาจารย์หมอเขียวมาจนถึงปัจจุบัน 

วิถีการกินมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรมที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่นั้น มีความแตกต่างจากมังสวิรัติทั่วไปอยู่บ้าง คือนอกจากจะไม่กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์แล้ว ยังมีการเลือกกินพืชผักฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็นให้สมดุลกับร่างกาย กินแล้วรู้สึกเบา สบาย มีกำลัง กินอาหารรสธรรมชาติ ปรุงรสด้วยเกลือเป็นหลัก กินตามลำดับโดยเริ่มจากสิ่งที่ย่อยง่ายก่อน หรือพูดสั้น ๆ ตามที่อาจารย์หมอเขียวสอนไว้ก็คือ พืช จืด สบายนั่นเอง 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” และอาจารย์หมอเขียวได้เขียนไว้ในบททบทวนธรรมข้อที่ ๑๖๓ ว่า “สิ่งสำคัญในชีวิต คือ อาหาร ได้แก่ สมุนไพร ผลไม้ ผักสด ผักลวก ข้าว เกลือ ถั่วหลากหลายชนิด ธัญพืชรสมัน ทำให้แข็งแรง เบาท้อง สบาย เบากาย มีกำลัง อิ่มนาน อาหารที่จำเป็นสำคัญต่อชีวิตมีเพียงเท่านี้ แล้วจะโลภ จะโง่ไปทำไม” นี่คือแนวทางการกินอาหารแบบแพทย์วิถีธรรม ที่นอกจากจะทำให้แข็งแรงและมีอายุยืนแล้ว ยังเป็นการลดกิเลสไปด้วย 

เมื่อข้าพเจ้าเลิกกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้แล้ว ในเวลาต่อมา ยังได้เลิกกินกาแฟและขนมอีกหลายอย่าง แต่ยังคงกินขนมบางอย่างอยู่ นอกจากนี้ ยังได้ลดมื้อของการกินอาหารลงเหลือ ๒ มื้อ และกิน ๑ มื้อเป็นบางคราว มันเป็นการปฏิบัติไปเป็นลำดับให้เหมาะสมกับเงื่อนไขในชีวิตของเราในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องปฏิบัติไปจนถึงเป้าหมายสูงสุด คือ กินพืช จืด สบาย กินพืชผักพื้นบ้านหรือผักปลูกง่ายเป็นหลัก ไม่กินขนมหรือสิ่งที่เป็นโทษอื่น ๆ ทั้งหมด และกินมื้อเดียวเป็นหลัก กินมากกว่า ๑ มื้อเมื่อเจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องปรับสมดุลเท่านั้น 

หลังจากได้ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวมาเรื่อย ๆ เป็นลำดับ ข้าพเจ้าพบว่าคุณภาพชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ร่างกายก็สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ไม่เหนื่อยง่าย มีความอึดในการทำงานได้ยาวนานขึ้น ประหยัดเงินค่าอาหารได้มาก นอกจากนี้ ยังมีผลทางด้านจิตใจด้วย คือรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ชีวิตเราไม่ต้องมีส่วนในการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเพราะการกินอีกต่อไป เป็นความปลอดโปร่งโล่งใจอย่างมาก และยังมีผลให้เป็นคนใจเย็น ไม่โกรธง่าย มีเมตตาต่อสัตว์เล็กสัตว์น้อยต่าง ๆ มากขึ้น ไม่ฆ่าทำลายยุง มด หนอน แมลงต่าง ๆ ในบ้านด้วย 

ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่า การเป็นนักมังสวิรัติแบบแพทย์วิถีธรรมนี้ เป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้า เป็นสิ่งล้ำค่าที่ข้าพเจ้าสามารถไขว่คว้าให้แก่ชีวิตตนเองได้จริง ๆ และจะตั้งใจรักษาไว้ตลอดทั้งชีวิต กระทั่งสืบต่อไปในภพชาติต่อ ๆ ไปด้วย

๕ ปีที่เลิกกินเนื้อสัตว์

๑๗ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นวันแรกของค่ายสุขภาพเล็ก ๆ ค่ายหนึ่งที่จังหวัดภูเก็ต เป็นวันที่ผมกำหนดหมายไว้ว่าเป็นวันแรกของการเลิกกินเนื้อสัตว์ของตนเอง จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลา ๕ ปีแล้ว ผมยังคงมีศรัทธาในวิถีชีวิตแบบนักมังสวิรัติอยู่อย่างมั่นคง และยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งสั่งสมเป็นความมั่นใจในทิศทางที่ถูกต้องของการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ได้สอนสั่งมา

ในวาระครบรอบปีที่ ๕ ของการเป็นนักมังสวิรัตินี้ เป็นโอกาสดีที่จะได้มานั่งทบทวนกันอีกครั้งว่า ชีวิตเราได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการเลิกกินเนื้อสัตว์ ในปีนี้ผมก็ยังคงยืนยันในประโยชน์ ๙ ข้อที่ได้เขียนไว้เมื่อสามปีก่อน แต่ปีนี้ผมอยากจะสรุปรวบยอดให้เห็นง่าย ๆ ชัด ๆ ว่าการเป็นนักมังสวิรัตินั้นดีอย่างไร

๑. กายแข็งแรง

ตลอดเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยไปหาหมอ ไม่เคยกินยา ไม่เคยกินวิตามินหรืออาหารเสริมใด ๆ แต่มีสุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรงดี มีความเจ็บป่วยบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากการกินอาหารที่ไม่สมดุล ทำงานมากเกินไป หรือเกิดจากวิบากกรรมต่าง ๆ นานาที่ผมเคยทำไว้ ทั้งในชาตินี้และชาติก่อน ๆ แต่ก็ไม่เคยป่วยหนัก ยกเว้นเหตุการณ์ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งผมได้เขียนเล่ารายละเอียดไว้ในบล็อกนี้ไปแล้ว ส่วนความเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาเยือนเป็นครั้งคราวนั้น มักจะเป็นแผลในปาก ร้อนใน ซึ่งแก้ไขได้ไม่ยากด้วยการปรับอาหาร ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

นอกจากความเจ็บป่วยที่น้อยลงมากเมื่อเทียบกับสมัยที่ยังกินเนื้อสัตว์แล้ว สมรรถภาพด้านร่างกายก็ดีขึ้นด้วย ผมมีเรี่ยวแรงและความอึดในการทำงานได้ยาวนานขึ้น ในแต่ละวันผมทำงานไม่ต่ำกว่า ๑๔ ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องนั่งทำหน้าจอคอมพิวเตอร์ สลับกับงานออกแรงเบา ๆ ในการปลูกผัก รดน้ำ ปั่นแป้ง คั่วถั่ว สกัดน้ำสมุนไพร แพ็คสินค้า และอื่น ๆ อีกจิปาถะ นอนวันละประมาณ ๖ ชั่วโมง กลางคืนเข้านอนสี่ทุ่ม ตื่นตีสาม และนอนกลางวันประมาณ ๑ ชั่วโมง

พูดถึงเรื่องความแข็งแรงของร่างกายแล้ว ในยุคโควิดระบาดอย่างนี้ ก็อยากจะพูดถึงภูมิต้านทานของร่างกายด้วย แม้ผมจะยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่ก็เชื่อว่าในร่างกายเรามีภูมิต้านทานดีพอที่จะสู้กับเชื้อโควิดได้ ในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนักถึงขั้นที่ราชการต้องสั่งปิดตลาดหลายแห่งในจังหวัดภูเก็ต ผมเองยังต้องไปซื้ออาหารที่ตลาดอยู่บ้าง และคิดว่าน่าจะได้สัมผัสกับเชื้อโควิดมาบ้างแล้วแน่ ๆ แต่ก็ไม่เคยมีอาการป่วยอะไร ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าภูมิต้านทานโดยธรรมชาติในตัวเรายังทำงานได้ดีอยู่ และถึงแม้ว่าจะติดโรคโควิดจนมีอาการป่วยขึ้นมา ผมก็เชื่อว่าจะสามารถดูแลตัวเองจนหายป่วยได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ได้ประมาทนะครับ ยังพยายามสวมแมสก์ เว้นระยะห่าง ล้างมืออยู่เสมอ

๒. ใจเป็นสุข

ตั้งแต่ปีแรกที่เลิกกินเนื้อสัตว์ ผมได้ความสบายอกสบายใจขึ้นมามาก เอาแค่คิดว่าชีวิตเราไม่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตอื่นให้เดือดร้อนเพราะการกินของเราอีกแล้ว เราก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอย่างมาก เหมือนได้หลุดพ้นออกจากบ่วงที่ผูกมัดเรามานานหลายสิบปี ความเครียดและความกังวลใจต่อเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตก็เบาบางลงไปด้วย ความสุขใจอย่างนี้เป็นคนละอย่างกับความสุขที่ได้จากการเสพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตลอดจนลาภ ยศ สรรเสริญที่คนส่วนใหญ่แสวงหากัน มันเป็นความสุขชนิดที่จะอยู่กับเราไปอย่างยาวนาน ข้ามภพข้ามชาติเลยก็ว่าได้

ความสุขใจอีกอย่างหนึ่งของการมาเป็นนักมังสวิรัติแบบที่ครูบาอาจารย์ได้สอนผมมาก็คือ ความรู้สึกสบายใจที่การกินการอยู่ของเราง่ายขึ้น ประหยัดขึ้น เราสามารถมีชีวิตที่แข็งแรง ทำกิจกรรมการงานเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ โดยอาศัยกินอยู่ด้วยพืชผักที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง ไม่มีโทษหรือมีโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชีวิตเราไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรของโลกมากนัก เราก็อยู่ได้อย่างผาสุกและสร้างสรรค์คุณค่าประโยชน์ต่อโลกได้ด้วย แม้ในยุคโควิดที่เศรษฐกิจฝืดเคือง รายได้ตกต่ำ เราก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่กังวล ไม่หวั่นไหว

๓. สังคมสิ่งแวดล้อมดี

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์” การเลิกกินเนื้อสัตว์ของผมไม่ใช่การคิดเอง ทำเอง เก่งเองคนเดียวไปดุ่ย ๆ แต่เป็นการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับกลุ่มคนที่คิดเหมือน ๆ กัน เข้าใจความจริงในแบบเดียวกัน คอยส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจกันอยู่เสมอ มีครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นสัตบุรุษคอยชี้แนะแนวทางปฏิบัติอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นหมู่เป็นกลุ่มที่ทำงานกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญ เป็นหมู่ชนที่มีศีล พากันลดกิเลส ปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ไปตามลำดับ การได้อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างนี้เองที่ทำให้ผมเลิกกินเนื้อสัตว์ได้อย่างยั่งยืน ถาวร ไม่หวนกลับไปกินเนื้อสัตว์อีก และไม่คิดว่าจะกลับไปกินอีก ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติอื่น ๆ สืบไป

นอกจากความมั่นคงในการปฏิบัติท่ามกลางหมู่มิตรดีแล้ว การที่ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันจนเกิดความคุ้นเคย ความสนิทสนม จนกลายเป็นเหมือนญาติ เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เวลามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็มักจะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน แม้ในยุคโควิดระบาดอย่างนี้ ผมไม่กังวลใจเลยว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีน จะติดเชื้อมั้ย ติดแล้วจะทำยังไง หรือถ้าตลาดปิดหมดจะไปซื้ออาหารไม่ได้ เพราะยังมีพี่น้องของผมหลายคน หลายที่ หลายแห่ง ที่สามารถพึ่งตนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปลูกอยู่ปลูกกิน มีอาหารที่ปลอดภัย เหลือกิน เหลือใช้ และยินดีที่จะแบ่งปันช่วยเหลือผมเสมอหากผมเดือดร้อน ทุกวันนี้ก็ยังมีพี่น้องที่ส่งเสบียง ส่งอาหาร พืชผักไร้สารพิษที่ปลูกเองมาให้ผมอยู่เรื่อย ๆ ทั้งยังเชื้อเชิญให้ผมไปอาศัยอยู่ด้วยเสมอ สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัย ไร้กังวล และสามารถเอาเวลา เรี่ยวแรง ความสามารถที่มีอยู่ของตนเองทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญ ทำงานช่วยเหลือกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มได้อย่างเต็มที่

ความจริงที่พิสูจน์ได้

ประโยชน์ ๓ ด้านที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น ขอยืนยันว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่แต่เฉพาะผมคนเดียวเท่านั้น แม่บ้านผม และพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมอีกหลายร้อยคน ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์และญาติธรรมชาวอโศกทั้งหลาย ล้วนอยู่ในกระแสของการปฏิบัติอย่างเดียวกัน อาจจะดูแปลก อาจจะแตกต่างจากวิถีชีวิตปกติของคนส่วนใหญ่ที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ อาจจะดูเหมือนเป็นความเชื่อที่ยอมรับกันเฉพาะในกลุ่มเล็ก ๆ ของตนเอง เหมือนจะพิสูจน์ให้คนส่วนใหญ่เชื่อด้วยไม่ได้ ยังไม่เป็นวิทยาศาสตร์มากพอที่ทุกคนจะยอมรับได้เหมือน ๆ กัน แต่ผมกลับมีความเห็นว่าเรื่องนี้พิสูจน์ได้จริง ๆ แต่ไม่ได้กับทุกคน มันได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติจริงเท่านั้น

หลังจากที่ได้ปฏิบัติแบบนี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๕ ปี ผมก็ขอโอกาสใช้ชีวิตของตนเองนี่แหละเป็นเครื่องพิสูจน์ โดยเปิดเผยความจริงนี้ออกไปเรื่อย ๆ และจะปฏิบัติอย่างนี้ต่อไปอีกห้าปี สิบปี ห้าสิบปี ร้อยปี หรือจนกว่าจะไม่เหลือร่างกายให้ปฏิบัติได้อีกแล้ว แม้มันจะยากที่จะพิสูจน์ให้คนส่วนใหญ่เชื่อและปฏิบัติตามก็ไม่เป็นไร เพราะพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสไว้อยู่แล้วว่า ธรรมะของพระองค์นั้นลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก แต่อย่างไรก็ตาม จะมีบางคนที่รู้ได้ เข้าใจได้ ปฏิบัติได้ และสามารถพิสูจน์ความจริงนี้ได้เหมือน ๆ กัน และหากท่านผู้อ่านท่านใดที่รับสัญญาณนี้ได้ แสดงว่าเราเป็นญาติกันในทางธรรม เราจะมีโอกาสได้ช่วยกันพิสูจน์สัจจะนี้ให้โลกเห็นมากขึ้น และช่วยกันทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลมนุษยชาติร่วมกันไปตราบจนร่างกายและจิตวิญญาณของเราจะสูญสิ้นไป

ครบรอบปีที่ ๔ ของการเป็นมังสวิรัติ

เมื่อถึงกลางเดือนกันยายนก็เป็นวาระครบรอบอีกปีของการเป็นมังสวิรัติของผม ปีนี้เป็นปีที่ ๔ แล้ว นับตั้งแต่ผมหยุดกินเนื้อสัตว์เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นโอกาสดีที่จะได้มาทบทวนและประเมินผลที่เกิดขึ้นจากวิถีการกินอาหารและวิถีชีวิตแบบนี้กันอีกครั้งหนึ่ง

ปีนี้ผมขอใช้คำว่า “เป็น” มังสวิรัติ แทนคำว่า “กิน” มังสวิรัติ เพราะผมมีความรู้สึกว่ามันน่าจะตรงกับสภาวะที่เป็นจริงมากกว่า เพราะวิถีการกินมังสวิรัติของผมมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงเรื่องการกินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่มันยังคาบเกี่ยวไปถึงวิถีชีวิตที่จะไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วย เช่น การไม่ตบยุง ไม่บี้มด ไม่ฆ่าและทำร้ายสัตว์เล็กสัตว์น้อยต่าง ๆ แม้กระทั่งแมลงสาบในบ้าน ที่นาน ๆ จะมีมาให้เห็นบ้างสักสองสามตัว ผมก็ไม่ได้ใช้กาวดักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เปลี่ยนมาเป็นใช้ถ้วยพลาสติคครอบเพื่อจับมันไปปล่อยนอกบ้านแทน

นอกจากนี้ ในช่วงล็อคดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ผมได้อยู่บ้านและปลูกพืชผักสวนครัวกินเองมากขึ้น ทำให้มีแมลงต่าง ๆ มาอาศัยพืชผักที่ผมปลูกเป็นอาหารมากขึ้นด้วย ทั้งตั๊กแตน เต่าทอง หนอนผีเสื้อ และหอยทาก เป็นต้น แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะ “ฆ่า” พวกมันเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่จับมันไปปล่อยที่อื่นถ้าทำได้ หรือถ้าจับไม่ได้ผมก็ปล่อยให้มันได้กัดกินใบผักบุ้ง ผักโขมของผมไปบ้าง ถือว่าเป็นการแบ่งกันกิน ถ้าไม่มีแมลงมากจนถึงกับกวาดกินพืชผักที่ผมปลูกไว้จนเหี้ยนเกรียน ผมก็ปล่อยให้มันกินไปบ้าง ส่วนที่เหลือก็เป็นผักที่ผมยังเก็บมากินได้อยู่ แม้บางส่วนมันจะเป็นรูหรือเว้าแหว่งไปบ้างก็ไม่เป็นไร ผมว่ามันไม่ได้ทำให้สูญเสียธาตุอาหารหรือแม้แต่รสชาติของพืชผักไปสักเท่าไรหรอก เพียงแค่ว่ามันดูไม่สวยสมบูรณ์แบบเหมือนผักสวย ๆ ในตลาดเท่านั้นเอง

แต่ถ้าเกิดมีแมลงมากจนทำลายพืชผักที่ผมปลูกอย่างรุนแรงจนผมไม่เหลืออะไรจะกินได้เลย ผมก็คงจะเลิกปลูกพืชชนิดที่แมลงชอบกินไปก่อน แล้วปลูกแต่ชนิดที่แมลงไม่ค่อยมารบกวนเท่านั้น

ผมว่ากสิกรรมไร้สารพิษก็ง่าย ๆ เท่านี้แหละ คือเราสามารถเลือกปลูกเลือกสร้างในสิ่งที่เราพอจะอาศัยใช้กินได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีหรือสารพิษใด ๆ พืชพันธุ์ใดที่จำเป็นต้องใช้สารเคมีจึงจะเติบโตให้ดอกให้ผลได้ เราก็หลีกเลี่ยงเสีย

ในรอบปีที่ ๔ ของการเป็นมังสวิรัตินี้ ผมยังไม่พบอาการของการขาดสารอาหารในตัวเองแต่อย่างใด รวมทั้งแม่บ้านที่เริ่มเป็นมังสวิรัติมาพร้อมกันด้วย น้ำหนักตัวก็ยังคงที่อยู่ที่ประมาณ ๕๒ กิโลกรัม น้ำหนักจะลดลงไปบ้างในบางช่วงที่ผมต้องทำงานหนัก มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าปกติ แต่พอหมดงานก็กลับมาฟื้นฟูและน้ำหนักตัวก็กลับขึ้นมาที่ระดับเดิมอีก

ถึงวันนี้ผมยังคงยืนยันประโยชน์ ๙ ข้อที่ได้จากการเป็นมังสวิรัติเหมือนเดิม แต่มีส่วนที่ผมอยากจะพูดถึงเพิ่มเติมในปีนี้ก็คือ จิตใจที่สงบเย็นและผาสุกยิ่งขึ้น ความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดังใจลดน้อยลง ประกอบกับการอธิศีลในเรื่องการพยายามที่จะไม่ถือสาเพ่งโทษหรือโกรธเคืองใคร ทำให้ได้ฝึกฝนจิตใจให้มีเมตตามากขึ้น ยอมรับความบกพร่องผิดพลาดทั้งของตนเองและผู้อื่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่ได้ทำงานยาก ๆ ในเงื่อนไขเวลาที่จำกัด ร่วมกับพี่น้องจิตอาสาในการทำสื่อค่ายออนไลน์ ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ด้วยความเบิกบานยินดี “เหนื่อยแต่ไม่เครียด ลำบากแต่ไม่ทุกข์” อันเป็นสภาวะที่ดีที่สุดของการทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่มนุษยชาติ

จากผลของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ผ่านมา ผมเชื่อมั่นอย่างหมดสงสัยแล้วว่า การเป็นมังสวิรัติอย่างนี้แหละ คือวิถีชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและโลก ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และเป็นพื้นฐานอันสำคัญของการปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ในยุคสมัยนี้ สภาพที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ทำให้ผมรู้สึกโชคดีอย่างมากที่สามารถเลิกกินเนื้อสัตว์มาได้ และไม่เคยคิดที่จะหวนกลับไปเกี่ยวข้องกับมันอีกเลยแม้แต่เล็กน้อย มีแต่จะพยายามเปิดเผยความจริงและเชื้อเชิญให้ผู้อื่นได้มาสัมผัสรับรู้ความมหัศจรรย์ที่ผมได้รู้เห็นมาแล้วเท่านั้น

สุดท้ายนี้ขอฝากคลิปการเสวนาเรื่อง การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์กับพุทธ ที่ผมได้มีส่วนร่วมในการทำงานกับพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน เพื่อเป็นอีกส่วนหนึ่งของการเปิดเผยความจริง จากบุคคลที่ปฏิบัติจริง เห็นผลจริง อันจะเป็นสัญญาณแห่งพุทธะที่สื่อสารออกไป หวังว่าท่านที่มีเชื้อมีธาตุของพุทธะเช่นกันจะรับสารนี้ได้ และนำไปใช้ประโยชน์กับชีวิตของท่านได้ เพื่อความผาสุกและแข็งแรงของชีวิตที่ได้เกิดมาแล้วทุกชีวิต

กิน ๆ ไปเถอะ ยังไงก็ตายอยู่ดี

หัวข้อนี้มันสะดุดใจผมมานานแล้ว ตั้งแต่ได้อ่านข้อความที่เพื่อน ๆ ในไลน์คุยกันเรื่องอาหารและสารพิษต่าง ๆ ที่มีในอาหาร ที่เรากินกันอยู่ทุกวันอย่างยอมจำนน เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า

“กิน ๆ ไปเถอะ ยังไงก็ตายอยู่ดี”

หลังจากการสนทนากันยืดยาวเรื่องพิษภัยต่าง ๆ จากอาหารที่เราบริโภคกันอยู่ มีการพูดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่ามีสารอะไร ๆ มากมาย จนดูเหมือนว่าการสนทนานี้จะหาที่จบไม่ได้ กระทั่งมีใครสักคนหนึ่งในวงสนทนาโพสต์วลีนี้ขึ้นมา ทุกคนจึงเปลี่ยนหัวข้อไปสนทนาเรื่องอื่นกันต่อ

“กิน ๆ ไปเถอะ ยังไงก็ตายอยู่ดี” ผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่คิดคล้าย ๆ อย่างนั้นเหมือนกัน

ในสมัยก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจเรื่องสุขภาพสักเท่าไร ผมเคยคิดไว้ว่า การพยายามเลือกซื้อ เลือกกินแต่อาหารที่คิดว่าปลอดภัยของคนรักสุขภาพนั้นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพราะอาหารไร้สารพิษนั้นมีน้อย หายาก และราคาแพงเกินกว่าจะซื้อบริโภคได้เป็นประจำ ถ้าเราต้องลงทุนซื้อแต่ของแพง ๆ กินทุกวัน เพียงเพื่อจะมีอายุที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไปสักสามสี่ปี ผมว่าเรายอมตายตามอายุขัยเท่า ๆ กับคนทั่วไปดีกว่า

เคยได้ยินคนที่มักเลือกกินแต่ของดี ๆ ที่คิดว่าปลอดภัย บอกว่าการที่เลือกกินอย่างนี้ไม่ได้แปลว่ากลัวตายหรอกนะ แต่กลัวความเจ็บป่วยทรมานก่อนจะตายมากกว่า

ฟังดูก็มีเหตุผลดี ตายเร็วหรือตายช้ายังไม่ใช่ประเด็นสำหรับคนที่คิดว่ายังไม่ใกล้ความตาย แต่ภาพของความเจ็บป่วยทุกข์ทรมานก่อนจะตายที่เราเคยพบเห็นมา มันน่ากลัวยิ่งกว่า

แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมก็ไม่เชื่อว่าความพยายามเลือกเฟ้นกินแต่ของที่คิดว่าดีแบบนั้น จะช่วยให้เราตายอย่างไม่ต้องทุกข์ทรมานได้ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะได้ตายแบบไหน อาจจะไม่ได้แก่ตายหรือป่วยตายก็ได้ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ และต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนตายก็ได้

และในสมัยนั้น ผมคิดว่าการพยายามที่จะเลือกกินแต่อาหารที่ปลอดภัยเท่านั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ สำหรับสภาพแวดล้อมของเราที่มีแต่อาหารอร่อย ๆ แต่เต็มไปด้วยพิษภัยต่าง ๆ เยอะแยะไปหมด ผมว่าเราคงจะเครียดตายเสียก่อนจะได้เป็นโรคตาย

แต่เมื่อได้มาเรียนรู้เรื่องสุขภาพกับแพทย์วิถีธรรมแล้ว รวมทั้งธรรมะจากครูบาอาจารย์ด้วย ความคิดของผมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากที่เคยคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่นานเกินไปเพราะไม่อยากทรมานตอนแก่ ตอนนี้ผมคิดว่าจะพยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้นานที่สุด และอยู่อย่างแข็งแรงที่สุด เพื่อจะได้ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้

เรื่องอาหารการกิน ผมก็กินง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก คือไม่ต้องกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อีกเลย กินแต่พืชผักผลไม้ ข้าว ถั่ว งา ที่หาได้ไม่ยากในท้องถิ่น อาจจะยังมีสารเคมีหรือสารพิษปนเปื้อนอยู่ แต่ก็มีวิธีล้างและเตรียมที่ช่วยลดสารพิษลงไปได้บ้าง ปลูกผักไว้กินเองบ้าง เท่าที่จะพอปลูกได้ หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานและสามารถขับพิษที่ตกค้างในตัวเราออกไปบ้าง รวมทั้งวิธีการถอนพิษอื่น ๆ ที่ได้เรียนรู้มาจากแพทย์วิถีธรรม เช่น การสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์) การกัวซา การแช่มือแช่เท้าด้วยสมุนไพร เป็นต้น

ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ ผมพบว่าร่างกายของผมแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก อาการริดสีดวงทวารหายไป อาการภูมิแพ้หายไป อาการเหนื่อยอ่อนเพลียง่ายหายไป มีเรี่ยวแรงทำกิจกรรมการงานต่าง ๆ ได้อึดได้ทนกว่าแต่ก่อน ไม่ป่วยง่าย นาน ๆ จะป่วยสักครั้งนึง เมื่อป่วยแล้วก็หายง่าย หายเองได้โดยไม่ต้องไปหาหมอ ตลอดเวลาสามปีกว่าที่ได้รู้จักกับแพทย์วิถีธรรม ผมไม่เคยไปหาหมอเลยสักครั้ง และไม่เคยกินยาเลยสักเม็ด

ถ้าไม่โดนวิบากกรรมตัดรอนเสียก่อน ผมเชื่อว่าผมน่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถึง 100 ปี และจะอยู่อย่างแข็งแรง ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ด้วย นอกจากนี้ ผมยังเชื่อด้วยว่า ถ้าผมยังพยายามพัฒนาชีวิตไปตามทิศทางนี้ไปเรื่อย ๆ ผมก็มีโอกาสที่จะได้ตายด้วยอาการอันสงบ ไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนตายมากนัก

เรื่องอนาคตพูดมากไปก็เปลืองน้ำลาย กลับมาที่ปัจจุบันกันดีกว่า ทุกวันนี้ผมเลิกคิดแล้วว่า “กิน ๆ ไปเถอะ” เพราะมันยังมีทางเลือกให้เราเลือกได้อยู่ เมื่อก่อนผมมันตาถั่วเอง จึงมองไม่เห็นทางเลือกเหล่านี้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเรามีทางเลือกที่จะกินของที่เป็นประโยชน์ เท่าที่เราจะหาได้ และเลือกที่จะไม่กินของที่เป็นโทษ เท่าที่เราจะเลี่ยงได้ แค่นี้ชีวิตเราก็แข็งแรงขึ้นมากแล้ว และที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินใช้ทองมากมายในการเลือกกินแบบนี้ด้วย

ผมเคยคำนวนคร่าว ๆ ว่า การเปลี่ยนมากินอาหารแบบนี้ทำให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอาหารไปได้เดือนนึงหลายพันบาทเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าผมจะเลิกคิดแล้วว่า “กิน ๆ ไปเถอะ” แต่ผมยังคงเชื่ออยู่ว่า “ยังไงก็ตายอยู่ดี” เพราะมันเป็นสัจธรรมของชีวิต ต่อให้ผมรักษาสุขภาพดีแค่ไหน กินอาหารสุขภาพเป๊ะขนาดไหน ออกกำลังกายฟิตแค่ไหน พักผ่อนพอเหมาะพอดียังไง ไม่ช้าก็เร็ว ผมก็ต้องตายเหมือนกัน และอาจจะไม่ได้ตายดีด้วย เพราะผมไม่รู้หรอกว่าเคยไปทำบาปทำกรรมชั่วช้ามาขนาดไหนในชาติก่อน ๆ ถ้าเคยทำชั่วมามาก แล้วกรรมมันตามมาทัน ผมก็อาจต้องตายข้างถนนอย่างหมูอย่างหมาก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

แต่คำว่า “ตายอยู่ดี” นี่มันทำให้ผมคิดเหมือนกันนะครับว่า เรื่องตายน่ะมันแน่อยู่แล้ว แต่ตอนที่ยังไม่ตายนี่สิ ตอนที่ยังอยู่เป็น ๆ นี่แหละ ผมจะพยายาม “อยู่ดี” ให้ได้ จะพากเพียรเลิกสิ่งชั่วทั้งหลายไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่เหลือชั่วให้เลิกอีกต่อไป …ให้ได้ และถ้าต้องตายเสียก่อนที่จะทันได้เลิกชั่วจนหมด ก็ขอไปเลิกต่อในชาติต่อ ๆ ไปด้วยครับ

อาจจะตายไม่ดีก็ได้ แต่จะพยายามอยู่ให้ดีให้ได้

เร็ว 3 อย่างที่ทำให้อายุสั้น

พูดถึงเรื่องสุขภาพและการมีอายุยืน มันคือเป้าหมายที่หลายคนใฝ่หา ลองคิดดูละกันว่า ถ้าคุณมีอายุถึง 70 หรือ 80 ปีแล้วยังมีฝีเท้าที่คล่องแคล่ว จะเดินหรือวิ่งก็เร็วกว่าคนอื่น พูดจาก็แววไวฉะฉาน นี่คือสัญญาณของการมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่อย่าเพิ่งคิดว่าอะไร ๆ ก็ยิ่งเร็วยิ่งดีไปหมดทุกเรื่อง เพราะมีอยู่ 3 เรื่องนี้หากเร็วเกินไป จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณเลย

1. หัวใจเต้นเร็ว

อัตราการเต้นของหัวใจในภาวะปกติ คือเวลาที่เราอยู่นิ่ง ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 100 ครั้งต่อนาที ในภาวะอย่างนี้ จังหวะการเต้นของหัวใจยิ่งช้าก็ยิ่งดี อัตราที่ดีที่สุดคืออยู่ระหว่าง 60 ถึง 70 ครั้งต่อนาที

หัวใจยิ่งเต้นเร็วอายุขัยก็ยิ่งสั้น เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจล้มเหลวและโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาอัตราการเต้นของหัวใจไว้ในระดับต่ำ เราควรดูแลร่างกายไม่ให้อ้วนและหลีกเลี่ยงบุหรี่และเหล้า นอกจากนี้ ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย จึงจะมีหัวใจที่แข็งแรงและมีอัตราการเต้นของหัวใจที่ดีได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าหัวใจยิ่งเต้นช้าจะยิ่งดีเสมอไป ถ้าหัวใจเต้นช้าเกินไป คือน้อยกว่า 50 ครั้งต่อนาทีก็ถือว่าไม่ดีเช่นกัน

2. กินเร็ว

คุณอาจจะคิดว่าการกินอาหารได้มาก กินได้เร็ว เป็นสัญญาณของการมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วการกินที่เร็วเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพเลย อาหารที่ถูกเคี้ยวอย่างเต็มที่ก่อนกลืนจะช่วยลดภาระของระบบย่อยอาหารในกระเพาะและลำไส้ การกินอาหารที่เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ การกินที่เร็วเกินไปยังทำให้สมองไม่ทันได้ส่งสัญญาณประสาทที่จะบอกให้เรารู้สึกอิ่ม จึงทำให้เรากินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการและเกิดภาวะอ้วน ความอ้วนจะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจึงควรเคี้ยวอาหารในแต่ละคำให้ได้อย่างน้อย 20 ครั้งขึ้นไป จึงจะเป็นการดูแลสุขภาพที่ดี

3. อารมณ์ขึ้นเร็ว

หมายถึงโกรธง่าย โมโหเร็ว ถ้าใครที่มีอาการที่เรียกว่า “นิดหน่อยก็ขึ้น” มีเรื่องอะไรหน่อยก็โกรธ ขึ้โมโหโทโสอยู่เป็นประจำ ต้องระวังว่าจะเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษหรือความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ อาการขี้โมโหในทางการแพทย์แผนจีนถือว่าเป็นโรคอย่างหนึ่ง เรียกว่า ซ่านนู่ (善怒) อารมณ์โกรธจะทำลายตับ ดังนั้น คนขี้โมโหมักจะมีปัญหาที่ตับ แต่ไม่ใช่แค่ตับเท่านั้น อารมณ์ขี้โกรธยังทำลายปอด ไต และกระเพาะอาหารด้วย นอกจากนี้ มันยังก่อโรคหรือเพิ่มความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง และอาจถึงขั้นก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย ดังนั้น อารมณ์ที่ขึ้นเร็วก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพและการมีอายุยืนด้วยเช่นกัน

สรุปว่าคุณจะเก่งจะเร็วในเรื่องไหน ๆ ก็เก่งไปเถิด เอาให้เต็มที่ แต่ 3 อย่างที่ว่ามานี้อย่าให้เร็วนักเลย เพราะมันมีแต่จะทำให้อายุขัยของคุณยิ่งสั้นลงเท่านั้น

ที่มา https://new.qq.com/omn/20191010/20191010A0DDVW00.html

เคล็ดลับการมีอายุยืน

ที่ประเทศจีนเคยมีการสำรวจโดยคณะกรรมการศึกษาผู้สูงอายุ พบว่าในบรรดาผู้สูงอายุที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไปนั้น มีสาเหตุจากปัจจัยต่าง ๆ คิดเป็นสัดส่วนได้ดังนี้

  • ยีนส์หรือพันธุกรรม 15%
  • สภาพสังคม 10%
  • ความก้าวหน้าทางการแพทย์ 8%
  • สภาพอากาศ 7%
  • ที่เหลืออีก 60% ขึ้นอยู่กับตัวของผู้สูงอายุเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเลย

ปัจจัยที่ว่านั้นก็คือ ใจที่ไร้ทุกข์นั่นเอง

มีงานวิจัยเชิงสำรวจอีกชิ้นหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้เช่นกันคือ การศึกษากลุ่มผู้อายุยืน 100 ปีขึ้นไปจำนวน 720 คน ในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน พบว่า 89.17% เป็นคนมองโลกในแง่ดี

นอกจากนี้ ที่อเมริกาก็เคยมีการศึกษาติดตามพฤติกรรมของผู้มีอายุยืน 100 ปีขึ้นไป จำนวน 700 คน เป็นเวลา 3 ปี และได้เปิดเผยความลับของการมีอายุยืนว่าคือ อารมณ์ที่เบิกบาน ไม่กังวล ไม่โกรธ และมีจิตใจที่ผาสุกอยู่ตลอดเวลา

ตัวอย่างจากบทความต้นฉบับภาษาจีนชิ้นนี้พูดถึงคุณปู่ทวดคนหนึ่งชื่อ จางฉุนเหอ อายุ 115 ปี เป็นผู้มีอายุยืนเป็นอันดับที่สองของการจัดอันดับในมณฑลซานตง มีคนไปถามคุณทวดท่านนี้ว่ามีเคล็ดลับอะไรในการมีอายุยืน คุณทวดไม่ได้ตอบ แต่ลูกสาวของท่านช่วยตอบให้ว่า ท่านเป็นคนอารมณ์ดีและมีจิตใจกว้างขวาง เข้ากับคนได้ง่าย มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แม้จะมีอายุมากเกินร้อยปีแล้วแต่ก็ยังมีสมองที่ฉับไว ความคิดฉะฉาน รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็ไม่ค่อยมี ดูเหมือนคนอายุ 70 กว่าปีเท่านั้นเอง

เป็นอันว่าทั้งผู้เชี่ยวชาญและคนทั่วไปต่างก็ยอมรับตรงกันว่า การเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือคิดบวกอยู่เสมอนั้นเป็นเคล็ดลับที่สำคัญของการมีอายุยืน แต่เราจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีได้อย่างไรล่ะ

คุณหมอท่านหนึ่งจากโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยการแพทย์ของจีนได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ให้เราคบหากับคนที่มองโลกในแง่ดีให้มาก เพราะอารมณ์ที่เป็นบวกของเขานั้นสามารถที่จะแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ด้วย นอกจากนี้ การออกกำลังกายก็สามารถทำให้เราเป็นคนร่าเริงแจ่มใสได้ และช่วยเพิ่มโอกาสในการพบปะผู้คนและมีสังคมได้ด้วย

ใจสำคัญที่สุด

ในภาษาจีนมีคำกล่าวที่ว่า รักษาโรคด้วยยาสู้รักษาด้วยอาหารไม่ได้ และรักษาโรคด้วยอาหารสู้รักษาด้วยใจไม่ได้ สรุปแล้วใจนั้นสำคัญที่สุด ในชีวิตประจำวันของเราต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอารมณ์เป็นพิษอยู่เสมอ อารมณ์ที่เป็นพิษเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายได้ด้วย เช่น อารมณ์โกรธทำให้ชีพจรและหัวใจเต้นเร็ว อารมณ์โศกเศร้าจะทำให้ระบบย่อยอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมาน้อยลงและลดความอยากอาหารด้วย อารมณ์หวาดกลัวและการโกหกจะทำให้ระบบประสาทส่วนกลางตึงเครียด ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น

แล้วเราจะรักษาใจให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอได้อย่างไร ต่อไปนี้คือใบสั่งยารักษาใจที่ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำเอาไว้ ขอเชิญมารับยากันได้เลยครับ

1. การหัวเราะเป็นธาตุอาหารที่ดียิ่ง

มีงานวิจัยยืนยันว่า การหัวเราะสามารถลดความดันโลหิตได้ การหัวเราะเพียง 1 นาที มีผลดีเท่ากับการพายเรือนาน 10 นาที การหัวเราะยังช่วยลดความเครียด ลดความหดหู่ซึมเศร้า สามารถกระตุ้นการหลั่งสารโดพามีนหรือสารสร้างความสุขได้ ผู้สูงอายุควรจะอยู่กับคนที่มีอารมณ์ขันให้มาก การดูหนังหรือละครตลกบ่อย ๆ ก็ช่วยได้

2. การพูดคุยเป็นยารักษาโรคที่ดีมาก

คุณหมอประจำทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาท่านหนึ่งเคยบอกเคล็ดลับในการมีสุขภาพดีให้แก่ประธานาธิบดีบุชก็คือ การพูดคุย หมายถึงในแต่ละสัปดาห์ให้พูดคุยกับคนในครอบครัวอย่างน้อย 15 ชั่วโมง สามีภรรยาควรคุยกันอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งการรับประทานอาหารเย็นหรืออาหารกลางวันร่วมกันด้วย

3. มิตรสหายคือยาชะลอความแก่

ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ๆ จะเกิดความรู้สึกกดดันทางสังคมสูงมาก จนอาจทำให้ระบบสารหลั่งต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลว ส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันโรคด้วย นักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่มีเพื่อนมากจะมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนทั่วไป 7 ปี

ดังนั้น ผู้สูงอายุที่เกษียณจากงานแล้วจึงไม่ควรเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ต้องพยายามเพิ่มการมีสังคม พบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่า รวมทั้งกระตุ้นตัวเองให้กล้าที่จะทักทายเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าค่าตากันสักเท่าไรด้วย

4. การยอมคือเครื่องปรับอารมณ์ที่ดี

การมีชีวิตในท่ามกลางสังคมปัจจุบัน การถูกเอาเปรียบ ถูกเข้าใจผิด ถูกรังแกข่มเหงนั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก วิธีที่ดีที่สุดในการเผชิญกับอารมณ์เหล่านี้คือเรียนรู้ที่จะยอม คือยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายนั่นเอง คนที่มีใจคับแคบ เอาแต่เรียกร้องจากผู้อื่นเสมอ มักจะทำให้ตัวเองเครียดได้ง่าย เมื่อเครียดแล้วเส้นเลือดก็จะหดตัว ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ทำให้อารมณ์และพลังชีวิตตกสู่วงจรอันเลวร้าย แต่ผู้ที่ฝึกฝนจนยอมเป็นแล้วก็เท่ากับใจของเขาได้ติดตั้งวาล์วปรับแรงดันทางอารมณ์เอาไว้แล้วนั่นเอง

5. เรียบง่าย ใจพอ คือภูมิคุ้มกันที่ดี

อย่าหยุมหยิมกับเรื่องเล็กเรื่องน้อยมากนัก มีความชัดเจนในเรื่องที่สำคัญของชีวิตก็พอ ถ้าเราเอาแต่คิดเล็กคิดน้อยในเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง จะทำให้ใจเรานั้นรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจอเรื่องร้ายเราควรจะยืดอกรับมันไว้ ยอมรับมันให้ได้ ทำใจกว้าง ๆ หน่อย ให้ใจเบิกบานและมีความรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก การทำใจได้แบบนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น

ที่มา https://new.qq.com/omn/20191001/20191001A03F1A00.html